วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2552

การใช้ Wiki ในการเรียนการสอนอีเลิร์นนิ่ง

e-Pro รุ่น 3

ชื่อผู้ร่วมกลุ่ม
สุจิต แสงวิโรจนพัฒน์
บุหงา โปซิว


1. ความหมายของ Wiki

Wiki คือซอฟต์แวร์(Software) ในรูปแบบเว็บ (Web Application) ที่อนุญาตให้ผู้เข้าชมสามารถแก้ไขเนื้อหาบนเว็บได้ในขณะที่กำลังออนไลน์ (Online) อยู่บนเบราว์เซอร์(Browser)

วิกิ(Wiki) ตัวแรกชื่อว่า WikiWikiWeb สร้างโดย วอร์ด คันนิงแฮม(Ward Cunningham) เมื่อพ.ศ.2537 สำหรับโครงการ Portland Pattern Repository ของเขา โดยได้เขียนโปรแกรมขึ้นด้วยภาษาเพิร์ล(Perl) และติดตั้งลงที่เว็บ c2.com โดยชื่อของ วิกิ นั้นมาจากชื่อรถประจำทางสาย "วิกิ วิกิ" (Wiki Wiki) ของระบบรถขนส่งแชนซ์ อาร์ที-52 ที่สนามบินฮอโนลูลูในรัฐฮาวาย คำว่าวิกิในภาษาฮาวาย มีความหมายว่าเร็ว ดังนั้นคำว่า "วิกิวิกิ" หมายถึง "เร็วเร็ว" นั่นเอง

ระบบวิกิเริ่มเป็นที่รู้จักภายหลังจากที่สารานุกรมวิกิพีเดียได้นำมาใช้ ซึ่งต่อมาได้มีหน่วยงานหลายส่วนได้นำระบบวิกิมาใช้ไม่ว่าในการจัดการเอกสาร การติดต่อสื่อสาร หรือแม้แต่การร่วมเขียนโปรแกรม

เว็บไซด์ http://www.webopedia.com/ ได้ให้ความหมายของ Wiki ว่า เป็นเว็บไซด์ที่ร่วมกันทำโดยผู้เขียนหลายๆคน มีรูปแบบ คล้ายกับ blog ซึ่งมีผู้เขียนเพียงคนเดียว แต่สำหรับ Wiki ผู้เขียนหลายๆคนสามารถช่วยกัน เขียน แก้ไข ลบ หรือขยายความ ข้อความที่อยู่บนเว็บไซด์ได้โดยใช้การติดต่อปฎิสัมพันธ์กันด้วยโปรแกรมเบราว์เซอร์

เว็บไซด์ http://www.wiki.org/ ได้ให้ความหมายของ Wiki ว่า เป็นซอพท์แวร์ server ที่ยอมให้ผู้ใช้หลายๆคนสามารถสร้างและแก้ไขเนื้อหาบนเว็บไซด์ได้โดยเสรีโดยใช้ web browser นอกจากนี้ Wiki ยังสนับสนุน hyperlinks และมีโครงสร้างอย่างง่ายในการสร้างหน้าใหม่และการเชื่อมกันระหว่างหน้าภายในเว็บไซด์

2. ลักษณะสำคัญของ Wiki

1) เทคโนโลยีของวิกิวิกิเว็บเซิร์ฟเวอร์ (WikiWikiWeb Server) เป็นโครงสร้างไฮเปอร์เท็กซ์ แต่ละหน้าจะมีลิงก์เป็นจำนวนมากที่ลิงก์ไปยังหน้าอื่น

2) เน้นการทำงานแบบง่าย ซึ่งผู้เขียนสามารถสร้างเนื้อหาบนเว็บได้โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในภาษาเอชทีเอ็มแอล(HTML) โดยข้อมูลถูกเขียนร่วมกันด้วยภาษามาร์กอัป(MarkUp)อย่างง่ายโดยผ่านเว็บเบราว์เซอร์(Web Browser)ในแต่ละหน้าจะถูกเรียกว่า"หน้าวิกิ" และเนื้อหาภายในจะเชื่อมต่อกันผ่านทางไฮเปอร์ลิงก์ (Hyperlinks)ซึ่งส่งผลให้ในแต่ละวิกิสามารถทำงานผ่านระบบที่เรียบง่ายและสามารถใช้เป็นฐานข้อมูล สำหรับสืบค้น ดูแลรักษาที่ง่าย

นิยามลักษณะของเทคโนโลยีวิกิคือความง่ายในการสร้างและแก้ไขหน้าหน้าเว็บ โดยไม่จำเป็นต้องผ่านการตรวจสอบหรือยืนยันจากเจ้าของเว็บนั้น

เว็บวิกิหลายแห่งเปิดให้ผู้ใช้บริการทั่วไปในขณะที่บางกรณี ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าวิกิ บนเซิร์ฟเวอร์ ผู้ใช้อาจจะต้องล็อกอินเพื่อแก้ไข หรือเพื่ออ่านบางหน้า (http://th.wikipedia.org/wiki/Wiki)

3) ผู้ใช้งานไม่ต้องลงโปรแกรมเพิ่มเติมพิเศษ สามารถใช้งานผ่านเบราว์เซอร์ และผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านเทคนิค

4) เป็นส่วนหนึ่งของ Web 2.0

* Web 2.0 เป็นคำที่ถูกคิดค้นขึ้นมาใหม่โดยทิม โอไรล์ลี่ย์ ( เพื่อใช้อธิบายถึงวิวัฒนาการในปัจจุบันของเว็บ จากที่เป็นแค่ผลรวมของเว็บไซต์หลายๆแห่ง มาเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการซอฟต์แวร์ผ่านเว็บให้กับผู้ใช้ ผู้ที่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้คาดว่าบริการต่างๆ บนเว็บ 2.0 จะมาแทนที่ซอฟต์แวร์แบบดั้งเดิมหลายๆ ประเภท

แม้จะยังไม่มีคำนิยามที่อธิบายถึงเว็บ 2.0 ได้ครอบคลุมที่สุด แต่หนึ่งในหลายตัวอย่างของความแตกต่างระหว่างเว็บ 1.0 และเว็บ 2.0 คือ การเปลี่ยนจากเว็บไซต์ที่มุ่งทำธุรกิจอย่างเดียวมาเป็นการมุ่งสร้างชุมชนหรือสังคมคนออนไลน์มากขึ้น เช่นการให้บริการซอฟต์แวร์ผ่านเว็บไซต์ การเปิดกว้างให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมในการเผยแพร่คอนเทนท์ต่างๆ และการดาวน์โหลดข้อมูลแบบบิตทอร์เรนท์ เป็นต้น

3. ทำไม Wiki ถึงเป็นนวัตกรรมในการเรียนการสอนอีเลิร์นนิ่ง

รูปแบบการสอนที่ใช้กันอยู่โดยทั่วไป เช่น การเรียนการสอนในชั้นเรียน การเรียนทางไกล หรือการเรียนทางอินเทอร์เน็ต การเรียนการสอนมักเป็นการถ่ายทอด หรือนำเสนอความคิดเพียงทางเดียว แม้การอภิปรายที่มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ก็เป็นลักษณะการให้ข้อมูล หรือความรู้เป็นของแต่ละคน การนำเทคโนโลยีของ Wiki มาใช้ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เกิดการขัดเกลา ผสมผสาน และการตรวจสอบ เกิดการสังเคราะห์ขึ้นเป็นความรู้ที่มาจากผู้เรียนหลายๆคน จึงถือได้ว่าเทคโนโลยี Wiki นับเป็นนวัตกรรมในการเรียนรู้รูปแบบหนึ่ง


ตัวอย่างหนึ่งของการนำ Wiki มาใช้ในการเรียนการสอน เป็นข้อความบรรยายตอนหนึ่ง แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ Wiki ของ ดร.วลัยภรณ์ นาคพันธุ์ หัวหน้าหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์เพื่อการออกแบบสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต (ข้อมูลจากเว็บไซต์ http://gotoknow.org/blog/thaikm/17330 )


ดร.วลัยภรณ์ นาคพันธุ์ :


.....มีวิชาหนึ่งที่ดิฉันสอน ชื่อว่าคอมพิวเตอร์เพื่อการออกแบบสถาปัตยกรรมเบื้องต้นที่ให้นักศึกษาเข้าใจศัพท์พื้นฐานในวงการออกแบบ การเขียนแบบด้วยวิชาคอมพิวเตอร์ โดยในคลาสนี้เป็นนักศึกษาระดับปริญญาโท 12 คน เริ่มจากแนะนำให้เขารู้จักระบบ CMS (content management system ) เป็นระบบที่ใช้ในการจัดการเนื้อหา สามารถตั้งเป็น server ได้หลายรูปแบบด้วยกัน คือ weblog e-commerce e-learning จนกระทั่งมาถึง Wikipedia ซึ่งตรงนี้ได้นำมาใช้ในการออกแบบ ในการจัดการเนื้อหา หลังจากที่แนะนำ Wikipedia ให้เขารู้จักแล้ว ให้การบ้านไปเขียนใน Wikipedia โดยเขียนรายงานเกี่ยวกับเรื่องที่ตนเองสนใจ 6 หัวข้อ ส่วนหัวข้อที่ 7 เป็นศัพท์ที่เกี่ยวข้องทางด้านคอมพิวเตอร์เกี่ยวกับการออกแบบสถาปัตยกรรม ซึ่งตรงนี้ก็เป็นเทคนิคอันหนึ่ง คือให้เขาเขียนสิ่งที่เขาสนใจและเขารู้ ขอแค่หัวข้อเดียวเกี่ยวกับศัพท์ที่จะเรียน เนื่องจากนักศึกษาจำนวนหลายคน คนหนึ่งเข้าไปเขียนคนอื่นก็อ่านได้ เป็นตัวอย่างที่นักศึกษาสนใจ คือการ์ตูนที่วัยรุ่นสนใจ เช่น ปอมปอม มีคนเข้ามาช่วยกันแก้ สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ก่อนที่จะให้กลับไปเขียนที่บ้านก็มีการ train ในชั้นเรียนก่อน หน้า web เว็บของ Wikipedia มีส่วนที่เรียกว่ากระบะทราย จะทำอะไรก็ได้ แล้วจึงปล่อยเขาลงสนามจริง ๆ คิดว่าคงไม่ก่อกวน Wikipedia เท่าไหร่ หลังจากที่เขากลับไปเขียน ตอนแรกๆ นักศึกษาจะทำ link ตัวหนา ตัวเอียงไม่เป็นก็มีอาสาสมัครใจดีช่วยกันเข้ามาเขียน เมื่อผ่านการตรวจสอบ ตอนหลังก็จะได้ออกมาเป็นบทความที่สวยงามได้ ศัพท์ตรงนี้เป็นศัพท์ที่เราจะสอบปลายภาคอยู่แล้ว มีคนเข้ามาเขียนหลายหัวข้อด้วยกัน สรุปว่าประสบความสำเร็จดี ......


4. Wiki มีรูปแบบไหนบ้าง


การใช้งาน Wiki ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของคนเฉพาะกลุ่ม เช่น องค์กรหรือบริษัทที่ต้องการใช้งานWiki โดยทั่วไปแบ่งการใช้งาน Wiki เป็น 2 ประเภท

คือใช้งานในกลุ่มคนเฉพาะกลุ่ม และใช้งานเป็นสาธารณะบนอินเทอร์เน็ต


Wiki สามารถนำไปใช้งานได้หลายรูปแบบ เช่น สามารถใช้งานเป็นเครื่องมือจัดการกับองค์ความรู้ (Knowledge Management Tools) การวางแผนและจัดการกับเอกสารต่างๆ หรือใช้ในระบบจัดการข้อมูล (Content Management System) ใช้ในกระดานสนทนา (Discussion Board)


ปัจจุบันมีหลายองค์กรได้นำเทคโนโลยี Wiki ไปใช้ในด้านต่างๆ เช่น เป็นออร์แกไนเซอร์(Organizer)ภายในองค์กร การจัดการเรียนการสอน

ตัวอย่างระบบที่นำ Wiki มาใช้ เช่น

วิกิ engines พื้นฐานมีมากมายให้ผู้ใช้สามารถเลือกได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ แต่การใช้ซอพท์แวร์วิกิออนไลน์ผู้ใช้ต้องมี เซิพเวอร์/ฐานข้อมูล ผู้ใช้สามารถสามารถติดตั้งใช้ภายในองค์กร ซึ่งทำให้สามารถปรับรูปแบบการใช้ตามที่ต้องการได้ แต่ผู้ใช้จำเป็นต้องมีความรู้ความชำนาญในด้านนี้ตลอดจนการมีระบบรองรับการใช้งาน หรืออาจไปใช้บริการของ hosts ภายนอก ซึ่งมีทั้งแบบต้องเสียและไม่ต้องเสียค่าบริการ แต่วิกินี้ผู้ใช้ไม่ต้องมีความชำนาญพิเศษใดๆ

Challborn และ Reimann (2005) รายงานผลการทดสอบโปรแกรมวิกิที่น่าสนใจดังนี้

  • EditMe เป็นหนึ่งในซอพท์แวร์วิกิที่ใช้ง่ายที่สุด โดยสามารถใช้กับเว็บเบราเซอร์ Mozilla และ Internet Explorer ใช้รูปแบบ WYSIWYG (what-you-see-is-what-you-get) ผู้ใช้เพียงแต่สามารถใช้ word processor ได้ก็สามารถใช้ EditMe ได้แล้ว การอัพโหลดไฟล์ทำได้ง่ายเหมือนเวลาแนบไฟล์ไปในอีเมล์ มีหน้าต่างแยกสำหรับ comments ทำให้ผู้เข้ามาแก้ไขข้อความสามารถโต้ตอบกันได้ ผู้ใช้ต้องมี pass word ในการเข้าไปใช้ มีการบันทึกการแก้ไขและผู้ใช้สามารถเข้าไปดูการแก้ไขก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม EditMe ไม่สามารถใช้กับเว็บเบราเซอร์ Safari

  • Media Wiki จัดทำโดย Wikimedia Foundation ซึ่งเป็นองค์กรไม่ได้มุ่งแสวงหากำไร ใช้ภาษา PHP และใช้ MySQL โดยผู้ใช้ต้องเสียค่าบริการรายเดือน $15 ผู้ใช้สามารถนำมาปรับใช้ในองค์กรหรือใช้บริการของ hosts ภายนอก Media Wiki ใช้ engine ตัวเดียวกับ WikiPedia DisinfoPedia WikiQuote WikiBooks WikiTravel มี features มากมายให้เลือกใช้ ผู้สอนสามารถศึกษาและเลือกนำมาใช้ในการสอนได้ มี sidebar สามารถตรวจดูการเขียนและการแก้ไขของผู้ใช้แต่ละคน ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับผู้สอนที่ต้องการตรวจดูว่ากลุ่มผู้เรียนแต่ละคนได้เข้ามาเขียนมากน้อยพียงไร การแก้ไขสามารถแยกเป็นส่วนๆได้ มีหน้าต่าง discussions แยกจากหน้าเขียนงาน สนับสนุน Unicode สามารถดูรูปแบบที่สั่งพิมพ์ได้ และมี RSS feeds แจ้งให้ผู้ใช้ทราบถึงการแก้ไขล่าสุด Media Wiki ยอมให้ผู้ดูแลระบบอนุญาตผู้ใช้ในระดับต่างๆกัน เช่นสามารถกำหนดการล็อคบางหน้า หรือยอมให้ผู้ใช้บางคนเข้าไปแก้ไขได้ในบางหน้า ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้สอนที่ต้องการป้องกันไม่ให้เนื้อหาสูญหายหรือแก้ไขโดยผู้อื่นที่ไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ ผู้ใช้สามารถอัพโหลดไฟล์และรูปภาพได้ด้วย ซึ่งในส่วนนี้ผู้สอนสามารถสั่งระงับการใช้งานได้ในกรณีที่จะป้องกันการอัพโหลดไฟล์ที่ไม่พึงประสงค์

  • Seedwiki เป็นบริการวิกิที่ผู้ใช้สามารถเลือกการเข้าใช้หลายแบบ แบบแรก “basic account”ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย การเข้าใช้ประกอบด้วย 3 วิกิและใช้เขียนงานได้ 50 หน้า แบบที่สอง “blue account” เสียค่าใช้จ่ายเดือนละ $9.95 สามารถใช้วิกิได้โดยไม่จำกัดจำนวนวิกิและจำนวนหน้า ผู้ใช้ต้องมี password แบบที่สาม “red account” เสียค่าใช้จ่ายเดือนละ $19.95 การเข้าใช้จะเหมือนแบบที่สอง แต่จะเพิ่ม features ว่าผู้ใช้ต้องเป็นสมาชิกเท่านั้น และยังสามารถใช้ฐานข้อมูลเพื่อสร้างการทำงานร่วมกันตามที่ต้องการได้ ไม่ว่าจะเป็นแบบใดไม่มีการจำกัดจำนวนผู้ใช้ Challborn และ Reimann (2005) ได้ทดสอบการเข้าใช้แบบที่หนึ่ง พบว่าใช้ง่าย การลงทะเบียนเพื่อเข้าใช้สามารถทำได้โดยง่าย มีการป้องกันโดยใช้ password สำหรับหน้าหลัก รายชื่อผู้ใช้และรายชื่อของผู้ใช้ที่กำลังออนไลน์อยู่ ณ ขณะนั้น ผู้ใช้สามารถสร้าง Seedwiki พื้นฐาน โดยเพียงตั้งชื่อวิกิ ชื่อกลุ่มของวิกิและคำอธิบาย (เช่น กีฬา) เลือกภาษาที่ต้องการ ข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ และการยอมรับเงื่อนไขการใช้งาน เพียงเท่านี้หน้าแรกของวิกิจะปรากฏขึ้นมาทันที รวมถึงข้อมูลอื่นๆที่ผู้ใช้ต้องรู้เพื่อการทำงานบนวิกิ Seedwiki สามารถลิงก์กับเว็บเพจภายนอกได้ ส่งอีเมล์ และแนบไฟล์ชนิดต่างๆได้ (Word, Excel. PowerPoint) Seedwiki จะบันทึกข้อความของทุกๆหน้าที่ผู้ใช้เขียนขึ้น ยอมให้ผู้ใช้สามารถเรียกหน้าที่ลบไปแล้วกลับมาได้ มีส่วนของคำถามที่ผู้ใช้ถามบ่อยๆ แผนที่ไซด์และคู่มือการใช้ ผู้ใช้สามารถอีเมล์หรือโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ Seedwiki มี “sandbox” สำหรับการทดสอบและการฝึก และผู้ใช้สามารถขอความช่วยเหลือและคำแนะนำจากผู้พัฒนาระบบได้ Seedwiki เก็บข้อมูลในรูปของ Unicode และมี fonts หลายรูปแบบให้เลือก รวมทั้ง RSS feeds

  • Socialtext เป็นเครื่องมือสื่อสารที่ทำขึ้นสำหรับองค์กรธุรกิจ ใช้สำหรับการจัดตารางเวลา การบริหารโครงการและการแลกเปลี่ยนข้อมูล Socialtext เหมาะสำหรับงานที่ต้องร่วมกันทำ โดยมีให้ทั้งในส่วนของบล็อกและวิกิ แต่ผู้ใช้ต้องเสียค่าบริการ $30 ต่อเดือน ซึ่งเป็นอัตราค่อนข้างสูงสำหรับผู้ที่อยู่ในแวดวงการศึกษา ถึงแม้ว่าจะมีการให้ส่วนลดพิเศษกับองค์กรที่ไม่ได้มุ่งแสวงหากำไร Socialtext เป็นโปรแกรมที่มี features ระดับมืออาชีพที่ใช้ง่าย และมีส่วนสนับสนุนการให้ความช่วยเหลือและสอนการใช้โปรแกรมด้วย

  • Swiki.net เป็นบริการชุมชนวิกิที่ผู้ใช้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทำขึ้นโดยใช้แนวความคิด WikiWikiWeb ซึ่งพัฒนาโดย Ward Cunningham ขั้นตอนการเข้าใช้สะดวกง่ายดายใช้เวลาน้อยกว่า 1 นาที โดยใส่ชื่อผู้ใช้ อีเมล์ ข้อมูลส่วนตัว การยอมรับเงื่อนไขลิขสิทธิ์ และเลือกชื่อในการเข้าใช้ตลอดจน password ไม่ต้องดาวน์โหลดโปรแกรมใดๆทั้งสิ้น Swiki บันทึกข้อมูลได้ 25 MB สามารถใส่ภาพ แนบเอกสารและสร้างลิงค์ได้

    นอกจากนี้ยังมี WikkiTikkiTavi และ InterWiki

5. การนำ Wiki มาประยุกต์ในการเรียนการสอนอีเลิร์นนิ่ง

Duffy และ Bruns (2006) ได้เสนอการนำวิกิมาใช้ในการเรียนการสอนดังนี้

  • นักศึกษาสามารถใช้วิกิเป็นตัวเอกสารหลักในการร่วมกันพัฒนาโครงงานวิจัย

  • นักศึกษาสามารถใช้วิกิเป็นตัวเอกสารหลักในการเพิ่มบทสรุปความคิดของตนเองที่มีต่อรายการหนังสือที่ต้องอ่านประกอบการเรียนและร่วมกันเขียน annotated bibliography

  • ในการเรียนการสอนทางไกล ผู้สอนสามารถพิมพ์หลักสูตรของวิชา เอกสารประกอบการเรียนบนวิกิ โดยที่ผู้เรียนสามารถเพิ่มเติมเสนอความคิดเห็นของตนเองที่มีต่อวิชาที่เรียนไดโดยตรง

  • วิกิสามารถใช้เป็นฐานความรู้ของผู้สอน ในการร่วมกันสะท้อนความคิดเห็นเกี่ยวกับการสอนในเรื่องต่างๆ ซึ่งสามารถนำมาจัดหมวดหมู่ให้ง่ายต่อการสืบค้นได้ในภายหลัง

  • วิกิสามารถนำมาใช้ในการสร้างกระบวนทัศน์ โดยวิธีการระดมสมอง เพราะจะเป็นตัวเชื่อมให้เกิดเครือข่ายของแหล่งข้อมูลต่างๆ

  • วิกิสามารถนำมาใช้แทนที่โปรแกรมในการนำเสนอ เช่น PowerPoint เพราะผู้เรียนสามารถร่วมกันเพิ่มเติม แก้ไขข้อมูลในการนำเสนอได้ในเวลานั้นๆ

  • ใช้เป็นเครื่องมือในการเขียนร่วมกันเป็นกลุ่ม

  • ใช้ในการประเมินผลวิชาที่เรียน โดยผู้เรียนร่วมกันเขียนสิ่งที่แต่ละคนได้จากการเรียนวิชานั้นๆ

6. ข้อดีของ Wiki ในการนำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนอีเลิร์นนิ่ง

1) สามารถทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (collaboration) กับผู้เรียนด้วยกัน และกับผู้สอนได้เป็นอย่างดี สามารถแสดงความคิดเห็น และการให้ความไว้วางใจที่จะให้สมาชิกในกลุ่มสามารถที่จะแก้ไข ข้อมูลต่างๆ เพื่อที่จะให้บทความ หรือ ความรู้นั่นสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ดร. ธวัชชัย ปิยะวัฒน์ (http://gotoknow.org/blog/memecoder/9220) ได้แสดงความเห็นดังนี้

......เจตนาการใช้งานวิกิก็เพื่อการเขียนเอกสารร่วมกัน (Collaborative Writing) โดยจัดเรียงเนื้อหาตามโครงสร้างของเอกสารนั้นๆ เอกสารที่เขียนอาจจะเป็นคู่มือในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่มีโครงสร้างสามารถเขียนร่วมกันและเชื่อมต่อหากันในเนื้อหาของเอกสารได้ ดังนั้นข้อดีของวิกิก็คือ ใช้เขียนเอกสารที่เนื้อหามีโครงสร้าง (Structured Contents) ร่วมกันได้ดี และเปิดโอกาสให้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเอกสารที่มีโครงสร้างนั้นได้รวดเร็วทันต่อการเปลี่ยนแปลง.....

2) ส่งเสริมคุณธรรมให้กับผู้เรียน ในด้านความสามัคคี ความเสียสละ ความร่วมมือร่วมใจ ในการแบ่งปันความรู้

7. ข้อจำกัดของ Wiki ในการนำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนอีเลิร์นนิ่ง

1) เอกสารที่เขียนต้องมีโครงสร้างที่ชัดเจนในระดับหนึ่งแล้วก่อนเปิดโอกาสให้มีการเขียนร่วมกันได้ มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาในการเชื่อมต่อและการจัดเรียงเนื้อหา (Structural Problems)

2) วิกิเหมาะต่อการสกัดความรู้ชัดแจ้งให้อยู่ในรูปเอกสารที่มีโครงสร้างที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง นอกจากนี้ “วิกิ” ในภาพรวมยังหมายถึงไวยกรณ์ในการเขียนเนื้อหาเพื่อให้ปรากฎบนเว็บที่ง่ายกว่าการเขียนด้วยภาษา HTML ด้วย

3) การเขียนข้อความทีไม่เหมาะสม

เอกสารอ้างอิง

What is Wiki? http://www.wiki.org/wiki.cgi?WhatIsWiki Retrieved 4 มิถุนายน 2550
http://www.webopedia.com/TERM/w/wiki.html Retrieved 4 มิถุนายน 2550
http://en.wikipedia.org/wiki/Wiki Retrieved 4 มิถุนายน 2550
Challborn, C. & Reimann, T. (July 2005). Wiki products: a comparison. International Review of Research in Open and Distance Learning. 6(2). Retrieved 5 June 2007 from http://www.irrodl.org/index.php/irrodl/article/view/229/859
Augar, N., Raitman, R. & Zhou, W. (2004). Teaching and learning online with wikis. Proceedings of the 21st ASCILTTE Conference 2004. Retrieved 5 June 2007 from http://www.ascilite.org.au/conferences/perth04/procs/pdf/augar.pdf
Duffy, P. & Bruns, A. (2006). The use of blogs, wikis and RSS in education: a conversation of possibilities. Proceedings of the Online Learning and Teaching Conference 2006. Retrieved 6 June 2007 from https://olt.qut.edu.au/udf/OLT2006/gen/static/papers/Duffy_OLT2006_paper.pdf2006/gen/static/papers/Duffy_OLT2006_paper.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น